สวัสดีครับผมพึ่งกลับจากญี่ปุ่นในวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ในบทความนี้จะมาเล่าว่าทริปนี้ผมแพลนยังไง ไปไหนมาบ้างและเจออะไรบ้าง ไปเริ่มกันเลย
การเตรียมตัวก่อนไปญี่ปุ่น
เริ่มจากตอนแรกคุยกับแฟนว่าอยากไปญี่ปุ่นมานานละไม่ได้ไปสักทีก็เลยเข้าแอพ Airasia แล้วหาวันโดยที่ไม่ได้ดูด้วยนะว่ามันอยู่ในช่วงอะไรจะเจอหิมะหรือเจอซากุระไหมไม่ได้คิดไรเลยแค่อยากไปเฉยๆ เลยได้มาเป็นบินวันที่ 21 มี.ค. กลับคืนที่ 28 มี.ค. ตอนแรกกดผ่านแอพแล้วเหมือนแอพมันตายพอดีไม่ยอมตัดบัตรเลยไปกดอีกทีใน Agoda ราคาไม่ได้ต่างกันมากคนละ 18,000 บาท + ค่ากระเป๋าอีกนิดหน่อยครับ

หลังจากได้วันที่บินแล้วก็ต้องหาแพลนเที่ยววิธีที่ผมใช้คือ ChatGPT ผมโยนคำถามไปว่าช่วยจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นให้หน่อยวันที่ 21 – 28 แชทก็ลิสที่เที่ยวให้ผมแบบเช้ากลางวันเย็นต้องไปไหนทำอะไรบ้างแต่บางอันผมก็รู้สึกว่ามันเดินทางเยอะเลยปรับๆไปเรื่อยๆจนได้อันที่ผมโอเค




บัตร youtrip
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยถ้าจะไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่นคือ บัตร Travel card ของผมใช้เป็นบัตร youtrip ของ ธนาคารกสิกร กดสมัครก่อนวันไปแค่อาทิตย์เดียวรอประมาณ 3 วันก็ได้บัตรละวิธีใช้ก็ง่ายเติมเงินบาทเข้าไปแล้วก็แลกเป็นเงินเยน เวลาไปใช้จ่ายก็แตะบัตรเฉยมันก็จะหักเงินออกไปจ่ากบัตรไม่ก็ไปตู้ ATM ตาม 7-11 เพื่อกดเงินสดออกมาก็ได้ ใครสนใจสมัครบัตร จิ้มที่ปุ่มข้างล่างเลยฮะ ปล. สมัครผ่านลิ้งและมีการใช้จ่ายครั้งแรกรับไปเลย 100 บาท
ที่สำคัญก่อนไปถึงญี่ปุ่นอย่าลืมไปลงทะเบียน Visit Japan ด้วยนะครับ วิธีการกรอกลองหาใน Google ได้มีคนทำไว้เยอะเลย พอลงทะเบียนเสร็จ ตอนถึง ตม. ญี่ปุ่นก็แสกน QR code ได้เลย ส่วนใครไม่ได้ลงทะเบียนก่อนไปก็ไปลงทะเบียนได้ที่สนามบินครับแต่กรอกไปก่อนดีกว่าไม่เสียเวลาครับ
หลังจากที่ได้แพลนคร่าวๆละก็จองโรงแรมๆใกล้ๆที่เที่ยว จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยเสร็จแล้วก็รอวันบินอย่างเดียว
Day 1
เริ่มบินจากสนามบินดอนเมือง 11 โมงถึงสนามบินนาริตะทุ่มครึ่ง(เวลาญี่ปุ่น +2 ชม) ใช้เวลาบนเครื่องประมาณ 5 ช.ม. พอถึงสนามบินก็ลงไปหา Terminal 2-3 ก่อนทางเข้าจะมี Couter แลกตั๋ว ที่ผมจองมาเป็น Skyliner นั่งไปลงที่ Nippori แบบล็อคที่นั่ง


รถไฟวิ่งเร็วมากเพราะไม่จอดเลยจะจอดป้ายแรกคือ Nippori ใช้เวลาแค่ 45 นาทีจากนาริตะก็ถึงสถานี Nippori ละ
พอลงจากรถไฟมาก็ก่งก๊งเลยไม่รู้ต้องเดินไปไหนหลงในสถานี 555 อากาศก็เย็นๆสุดท้ายก็เดินตามแมพจนไปถึงโรงแรมจนได้



ถึงโรงแรม 4 ทุ่มครึ่งแวะซื้อข้าว 7-11 ก็หมดแรงละอาบน้ำนอนจบวันแรก
Day 2
ตื่นเช้ามาวันนี้เราแพลนจะไปวัดเซนโซจิเดินทางโดยนั่งรถไฟ Yamanote line ไปลง Ueno แล้วต่อ Ginza line ไป Asakusa

บัตร PASMO
แนะนำให้ทำบัตร IC Card ไว้ใช้ขึ้นรถไฟของที่ญี่ปุ่นนะครับทำง่ายๆได้ที่ตู้ขายตั๋วรถไฟเลยเวลาจะใช้ก็เติมเงินเยนเข้าไป พอถึงประตูรถไฟก็แตะเข้าแตะออกได้เลยเหมือน BTS บ้านเรา ย้ำว่าแตะนะอย่าไปเสียบบัตรเพราะผมลองเสียบมาละโดนตู้กินบัตร ต้องเรียกพี่ พนักงานรถไฟมาเปิดตู้ให้ 555








พอถึง Sensoji เจอนั่งท่องเที่ยวบ้างแต่ยังไม่เยอะน่าจะเพราะมาเช้าและซากุระก็ยังไม่ค่อยบานด้วย วันนี้มีร้านแบบตลาดมาเปิดด้วยแต่ส่วนใหญ่เขากำลังตั้งร้านกันอยู่เลยได้ไปกินเมล่อนปังร้านที่คิดว่าน่าจะคิวเยอะเพราะมีรูปคนดังๆมากินเต็มเลย อร่อยนะตัวขนมปังกรอบหอมมาก มีแบบใส่วิปครีมด้วยแต่ส่วนตัวไม่ชอบวิปเลยกินแต่แบบขนมปังเปล่าๆ

หลังจากกินขนมปังเสร็จก้ไปไหวัพระขอพรเสี่ยงเซียมซีด้วยแนะนำเตรียมเหรียญมาเยอะๆ เพราะที่นี่เวลาไหว้เขาจะโยนเหรียญกันนะ


หลังจากวัด Sensoji เราก็ไปกันต่อที่ Ueno park ที่นี่ตอนที่มามีซากุระออกบ้างแหละแต่ไม่เยอะต้นไหนออกเยอะๆคนก็จะไปรุมถ่ายรูปกันพอสมควร




หลังจากเดินไปเรื่อย เราก็เดินมาถึงวัด Ueno Toshogu ที่อยู่ใน Ueno park เป็นวัดสีทองสวยเลยคิดว่าถ้าซากุระออกน่าจะสวยกว่านี้อีกอ่อวัดนี้เสียค่าเข้า 500¥ นะ






เสร็จจากวัดเราก็ไปต่อที่พิพิธภัณฑ์ Tokyo national ค่าเข้า 1000¥ ก่อนจะเข้าเจอคาเฟ่เลยแวะกินขนมสักหน่อยเป็นมิทาราชิดังโงะ กันไอติมแซนวิชข้างในเป็นรสชาเขียว




ที่เราเข้าไปจะมี 2 อาคาร อาคารแรกเป็นรวมๆของประเทศเอเชียมีหลายชั้นหลายประเทศเยอะมากๆส่วนอีกอาคารจะเป็นรวมประวัติและโบราณวัตถุของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคก่อตั้งเลย







มีเรื่องเล่าตอนเดินในพิพิธภัณธ์นิดนึง คือเราไปวางกระเป๋าลืมไว้นึกขึ้นได้ตอนจะกลับว่าแบบทำไมมันโล่งๆคอ เลยไปติดต่อที่ Couter ประชาสัมพันธ์เขาเจอกระเป๋าเราละล่ะแต่เขาก็ถามเราว่าในกระเป๋ามีอะไรพักที่โรงแรมไหนดีนะเราพกคีย์การ์ดกับแฟนคนละใบเลยเอาคีย์การ์ดให้เขาดูว่ากระเป๋าเราจริงๆนะ 555
หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ไปเดินเล่นย่านขายของ Ameyoko นิดนึงแต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้คนเยอะมาก
ช่วงเย็นๆเรานัดพี่ที่รู้จักมากินข้าวร้าน Bouya Nishi-Nippori เนื้ออร่อยมากแต่ที่ชอบสุดๆคือโคล่าแฮะมันแบบหวานเปรี้ยวซ่า สดชื่นสุดๆ 555


Day 3
วันนี้ตื่นเช้ามาผมรู้สึกเวียนหัวพอจะไปเข้าห้องน้ำก็อาเจียนเลยน่าจะอาหารเป็นพิษจากที่ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปเดินเล่น Ueno อีกหน่อยค่อยเปลี่ยนโรงแรมเลยต้องนอนพักก่อนแล้วตื่นมาก็เปลี่ยนโรงแรมเลย
โรงแรมวันนี้อยู่ย่าน Ginza นั่ง Hibiya line มาลงสถานี Tsukiji เดินอีกนิดเดียวก็ถึงโรงแรมละหลังจากถึงโรงแรมก็เอากระเป๋าไปฝากก่อนแล้วก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย





พอเริ่มหิวเลยแวะร้านราเมงอันนี้ไม่รู้ชื่อร้านแฮะเราสั่งแบบงูๆปลาๆไม่รู้มันคือไรบ้างแต่เกี๊ยวซ่ามะเขือเทศกับเหล้าบ๊วยอร่อยมาก 5555



หลังจากกินข้าวเสร็จก็ตั้งใจจะไป Imperial palace แต่ๆๆมันปิดวันนี้พอดี 555 เลยได้แต่ถ่ายรูปรอบๆแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟสถานีโตเกียวเพื่อไป Akihabara ต่อ (Imperial palace ปิดวันจันทร์กับวันอาทิตย์)






พอมาถึง Akihabara คนเยอะมากกน่าจะเพราะว่าเรามาช่วงเขาปิดถนนพอดีเขาจะปิดถนนช่วงบ่ายวันอาทิตย์ มาถึงนี่เราก็ช้อปปิ้งเลยกดกาชาปองไปเป็นของฝาก(จริงๆควรมากดวันก่อนกลับนะไม่งั้นต้องแบกแบบผม) ส่วนแฟนซื้อกระเป๋าเดินทาง ที่ Donki ช้อปฉ่ำๆ 555






หลังจากกระเป๋าฉีกที่ Akihabara เราก็กลับไปเชคอินที่โรงแรมก่อนเอาของไปเก็บตอนเย็นเราจองขึ้น Tokyo Skytree รอบ 2 ทุ่มครึ่งไว้นั่งรถสาย Asakusa Line ยาวๆจากโรงแรมไปลงสถานี Osiage หลังจากออกจากรถไฟขึ้นห้างไปชั้น 4 ถึงจะเจอทางเข้า Tokyo Skytree
ตั๋วของ Tokyo Skytree มีแบบขึ้นแค่ชั้น 350m กับขึ้นแบบ combo 350m และ 450m ของผมซื้อแบบ combo เลย
ถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วไว้ต้องมาต่อแถวซื้อ เราซื้อมาก่อนพอถึงรอบ 2 ทุ่มครึ่งก็ขึ้นไปได้เลยลิฟต์ไวมากๆ ครั้งนี้เป็น ธีม Sakura กับ My hero academia ข้างบนก็จะเห็นรอบเมืองเลยชั้น 350m เป็นธีม Sakura ส่วน 450m เป็น My hero




เสร็จแล้วก็กลับมาห้องพักแวะซื้อของกินนิดหน่อยที่ Family mart ข้างโรงแรมพร้อมนอนลุยกันใหม่พรุ่งนี้
Day 4
เช้าวันนี้เราก็ไปแวะตลาดปลา Tsukiji ก่อนเลยเพราะใกล้โรงแรมเดินแปปเดียวก็ถึงร้านแรกก็จัดเมล่อนก่อนเลยแล้วก็ลองพวกปลา ซูชิ อร่อยมากแต่บางร้านราคาแอบแรงนะ มีร้านคนต่อเยอะมากๆพวกไข่ม้วน แกงกะหรี่เราสู้ไม่ไหวคนเยอะเกิ้นน





แพลนวันนี้คือเราต้องไปนอนที่ Shibuya เพราะต้องไปขึ้นรถไป Kawaguchiko ที่นั่นแต่เช้า แต่เราก็ไม่อยากแบกกระเป๋าลากไป เลยนั่งรถไป Kanda ซึ่งเป็นโรงแรมของคืนที่กลับจาก Kawaguchiko เพื่อฝากกระเป๋าไว้ 2 คืนทางโรงแรมก็ให้ฝากนะใจดีมากๆ
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จเราก็ไป Shibuya ต่อแต่กว่าจะเข้าโรงแรมได้ก็ตั้งทุ่มนึงเลยไปแวะคาเฟ่กินขนมกันก่อน



หลังจากแวะคาเฟ่เราก็นั่งรถไฟไปต่อที่ Harajuku เพื่อไปวัด Meiji jingu กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดก็เดินไกลพอสมควรระหว่างทางก็จะมีพวกต้นไม้ดอกไม้ให้ชมแต่ช่วงที่เราไปมันยังไม่ค่อยออกดอกนะเส้าเกิ้นน






เสร็จแล้วก็ออกมาเดินช้อปปิ้งย่าน Harajuku ก่อนที่จะกลับไป Shibuya วันนี้เดินเยอะมากกก




ก่อนเข้าที่พักแวะกิน Katsuya สักหน่อยที่นี่มีเมนูประจำ Season แบบที่ไทยไม่มีแฟนบอกว่าอร่อยอยากกินอีก


พอมาถึงโรงแรมเซอร์ไพสมากจริงๆรู้สึกแปลกๆตั้งแต่แรกละว่าย่านนี้มันมีแต่โรงแรมแบบนี้แต่เราจองมาจากแอพน่าจะไม่มีอะไรมั้งพอมาถึงจริงๆก็ 555 ตามที่วีดีโอรีวิวเลยมันน่าจะเป็นโรงแรมแบบนั้นแหละมีหนังให้ดูเพียบ 5555 แต่ห้องใหญ่กว่าทุกที่ๆผ่านมาเลยนะ
Day 5
เนื่องจากเมื่อคืนเราไปแอบดูที่ขึ้นรถมาละมันอยู่บนตึก Shibuya Mark City ขึ้นลิฟต์ตรงชั้นล่างใต้ตึกขึ้นไปข้างบนที่เป็นท่ารถได้เลย รถออกตรงเวลามาก คนบนรถส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น นั่งหลับยาวๆ 3 ชม. ก็ถึงละ Kawaguchiko




ตอนมาถึงก็แอบเศร้าเล็กน้อยเพราะเห็นฟูจิซังไม่ค่อยชัดเลยหลังจากฝากกระเป๋าที่โรงแรมแล้วเราก็เดินหาของกินแต่ร้านส่วนใหญ่เปิด 11 โมงถ้าใครมาแนะนำแวะกิน 7-11 ไม่ก็ Family mart แถวๆสถานีก่อนไปเที่ยวดีกว่าครับ
เราเดินมาหาของกินจนมาถึง Yamanashi Gem Museum มีแร่เยอะแยะเลยและก็มีบอกกระบวนการผลิตด้วยอีกทั้งมีเครื่องประดับขาย แต่ถ้าใครอยากมาจริงๆนั่งรถบัสมาไม่ก็เช่าจักรยานมานะเพราะเดินค่อนข้างไกลจากสถานี



หลังจากออกมาจาก Museum แฟนผมก็อยากไปดูถ้ำน้ำแข็งซึ่งต้องนั่งบัสไป บัสที่นี่มีหลายสายแต่เราสามารถเปิด Google map ดูได้เลยว่าอยากไปที่ไหนต้องขึ้นสายไหนมากี่โมงไรงี้ดีมากๆ เวลาจ่ายก็แตะ IC card ได้เลย ตอนขึ้นประตูจะเปิดตรงกลางรถก็แตะก่อนเข้าไปนั่งส่วนตอนลงประตูจะเปิดข้างหน้าก็แตะก่อนลง
นั่งบัสยาวๆมาถึงถ้ำน้ำแข็งจะมีสองจุดอยู่ห่างกันนิดหน่อยบัสจะมาจอดข้างหน้าต้องเดินเข้าไปนิดนึงในถ้ำก็ค่อนข้างหนาวและแคบพื้นก็ลื่นตอนเดินก็ระวังนะครับแต่ข้างในสวยอยู่นะไม่ค่อยได้ถ่ายมาเยอะแสงไม่พอ 555




หลังจากเสร็จถ้ำน้ำแข็งก็นั่งรถบัสกลับยาวๆหลับยาวๆพอถึงสถานี Kawaguchiko แล้วเราก็ไปนั่งรถไฟต่อเพื่อจะไปที่วัด Arakurayama ถ่ายรูปยอดนิยมที่เห็นเจดีย์กับฟูจิซังสักหน่อย





พอเสร็จแล้วเราก็นั่งรถไฟ Local กลับสถานี Kawaguchiko ก่อนมาถึงเราก็เสิชมาแล้วว่าที่นี่มีอาหารขึ้นชื่ออะไรนั่นก็คือ Hotou ที่มันจะเส้นแบบนุ่มๆ มีเห็ด ผัก เต้าหู้ทอด มันฝรั่ง มีเนื้อสัตว์แต่ไม่เยอะมากรสชาติกลมกล่อม ร้านที่ผมไปกินคือ Houto Fudo ช่วงเช้าคนเยอะมากต้องต่อคิว ถ้ามากัน 2 คนแนะนำสั่งจานเดียวดีกว่าเพราะมันเยอะมากแบ่งกันกินดีกว่า


เสร็จแล้วก็ไปแวะ 7-11 ซื้อขนมนิดหน่อยที่พักวันนี้เป็นปูที่นอนแบบญี่ปุ่น ห้องน้ำรวมแต่ละชั้นส่วนห้องอาบน้ำมีแบบแยกห้องแล้วก็แช่ออนเซนรวมชมฟูจิแต่เราไม่ได้ไปลองนะคนเยอะะะ


Day 6
ก่อนกลับจาก Kawaguchiko เราก็ตื่นเช้าแล้วไปเช่าจักรยานปั่นเก็บที่เที่ยวใกล้ๆที่ยังไม่ได้ไปนิดหน่อยเริ่มจากข้ามสะพานไป Hidden shrine แล้วก็ปั่นไปดู Dragon ball ที่วัด Fuji Omuro Sengen-jinja แวะซื้อขนมแล้วก็เดินทางกลับ Shibuya






พอกลับมาถึง Shibuya ก็บ่ายสามโมงละ หิวมากเลยแวะ Yoshinoya ก่อนจะเดินทางไปที่พักที่ Kanda


ที่พักที่ Kanda เราจะนอนที่นี่ 2 คืนจนกลับเลยอยู่ชั้น 13 เลขดีสุดๆตอนเย็นที่นี่มีเครื่องดื่ม(แอล)และก็ทาโกยากิให้กินไม่อั้นด้วยดีสุดๆ
ตอนเย็นเนื่องจากวันที่ได้ไป Tokyo Skytree ตรงข้างล่างมันเป็นห้างแต่วันนั้นเรารีบไปเลยไม่ได้แวะวันนี้เลยมาแวะสักหน่อยย





ขากลับก็แวะมากิยทาโกยากิฟรีที่โรงแรมก่อนนอน

Day 7
วันนี้เราเห็นใน Facebook มีคนบอกว่าซากุระเริ่มบานแล้วเราเลยเลือกไปที่ Shioiri Park ริมแม่น้ำซากุระบานแล้วสวยมากมีทั้งสีขาวสีชมพูเลย ถ่ายรูปฉ่ำมากๆ 555








วันนี้ทั้งวันก็ไม่ค่อยมีอะไรเพราะว่าพักผ่อนละส่วนใหญ่ไปตามหาซื้อของฝากแวะ Sensoji อีกรอบ แล้วก็กลับที่พักมากินโซบะ







Day 8 วันบินกลับไทย
วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศไม่เป็นใจเลยเจอฝนเราเชคเอ้าท์และก็เอากระเป๋าไปฝาก Locker ที่สถานี Oshiage และก็เข้าไปดู Aquarium ที่เดียวกับ Tokyo Skytree นั่นแหละ





พอเสร็จแล้วก็แวะกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทและก็ไปตามเก็บของฝากเหมือนเดิม ถึงเวลาก็นั่งรถไฟยาวๆไปสนามบินนาริตะตอนอยู๋บนรถไฟก็เจอข่าวว่าไทยแผ่นดินไหวพอดีได้ข่าวว่ารถติดหนักมากและก็กังวลว่ากลับไปที่ห้องจะเป็นไงบ้างแต่กว่าจะถึงไทยก็ตี 2 แน่ะ






พอมาถึงที่สนามบินเกิดหิวเลยไปนั่งกินร้านซูชิสายพานที่สนามบินเสร็จแล้วก็รอขึ้นเครื่องกลับไทยหลับยาวๆบนเครื่องครับบ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
ทริปนี้ก็มีค่าใช้จ่ายที่พอจะจำได้ตามนี้ผมเอายอดจากที่ตัดจากบัตรจริงๆมาเขียนนะใครจะไปตามลองเชคราคาก่อนนะครับส่วนใหญ่เป็นพวกที่จองก่อนไปส่วนอันที่เป็นค่ากินกับช้อปปิ้งก็ตีรวมสัก 30,000 บาทได้ครับ
- ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ รวมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม คนละ 21,000
- ค่าโรงแรม Nippori คืนละ 4,832 บาท
- ค่าโรงแรม Ginza คืนละ 2,448 บาท
- ค่าโรงแรม Shibuya คืนละ 2,122 บาท
- ค่าโรงแรม Kawaguchiko คืนละ 2,651 บาท
- ค่าโรงแรม Kanda คืนละ 4,949 บาท
- รถบัสไป Kawaguchiko คน 961
- รถไฟ Skyliner จาก สนามบิน Narita มา Ueno คนละ 673 บาท
- ตั๋วเข้าชม Tokyo Skytree คนละ 859 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดกลมๆประมาณ 70,000 บาทได้ครับ
สรุปก็เป็นทริปที่ปุบปับมากๆแต่ก็สนุกมากๆเหมือนกันครับญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวได้บ่อยๆหลังจากที่กลับมาจากโตเกียวผมก็แพลนไปต่อที่โอซาก้าเลยใครมีที่ไหนแนะนำหรืออยากแชร์แผนเที่ยวของตัวเองก็มาพูดคุยกันได้ครับไว้เจอกันบทความหน้า บ้ายบายครับบบ